เว็บใหม่ ซื้อขายนาฬิกามือสอง

เลือกห้อง

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - visitt

หน้า: 1 ... 9 10 11 12 13 [14]
287












  Alpha Mechanical Chronograph "Made in China"


- ตัวเรือนสตีล 316Lขนาด  39mm ไม่รวมมะยม  กระจกนูน acrylic กันน้ำ 30 เมตร

- กลไกไขลาน Seagull SG2903  สำรองพลังงาน 42 ชม พร้อม column wheel  กดจับเวลานุ่มมือ

- ฟังก์ชั่น จับเวลา 30 นาทีและมีวงแสดงเวลา 24 ชม , มะยะม และพุชเชอร์ขันเกลียว

- นาฬิกาสภาพ 99% มาพร้อมซอง คู่มือ ใบรับประกัน สายเหล็ก ไม่เคยใส่ , นาฬิกาเดือน มีค 63 ประกัน 1 ปี


















        สำหรับ Alpina เรือนนี้ ได้แรงบันดาลใจจาก Daytona 6263 Bigred  ;D  ใส่ซ้อมข้อมือไว้ก่อนครับ เผื่ออนาคต...






    หูสาย 20mm หาสายหนังจาก expert มาสลับใส่ มันส์ ๆ ครับ





















     ราคา 9,900 บาท โทร 081-9235783 หรือไลน์ Visitnaliga


288
บอร์ดนาฬิกา Sold / * sold* Azimuth Spaceship หน้าปัด aventurine dial
« เมื่อ: มีนาคม 24, 2020, 06:01:39 PM »




























 Azimuth SpaceShip 1 Aventurine dial

- ตัวเรือนสตีล 316L  ขนาด45 มม ไม่รวมมะยม กันน้ำ 30 เมตร

- กลไกไขลาน AZM 768 ปรับแต่งโดย Azimuth แสดงเวลา ชม.กระโดด (Jumping Hour) สำรองพลังงาน 42 ชม

- นาฬิกาสภาพดีมาก ใบลงเดือน ธค 2019 ประกัน 2 ปี ทั่วโลก มาพร้อมสายหนังจระเข้สีดำของเดิมไม่เคยใช้ และมีสายยางของ Azimuth ในรูปให้ไปด้วย


   







https://www.azimuthwatch.com/product/the-spaceship


      สำหรับ SP-1 Spaceship นี้จะมีดีไซน์ที่เป็นรูปแบบของจานบินจากรูปร่างของตัวเรือนสตีลต่อเนื่องกับกระจกหน้าปัดทรงโดมโค้งนูนและรูปแบบการแสดงผลของนาฬิการุ่นนี้ยังถูกโมดิฟายด์ให้แสดงชั่วโมงด้วยจานดิสก์ซึ่งจะหมุนกระโดดแบบจั๊มปิ้งอยู่บนหัวของเข็มวัสดุไทเทเนี่ยมดีไซน์ 3 มิติขนาดใหญ่ซึ่งจะมีส่วนปลายแหลมอีกด้านหนึ่งทำหน้าที่ชี้บอกนาทีเคลื่อนหมุนไปรอบหน้าปัด โดยการอ่านค่าชั่วโมงนั้นจะอ่านจากช่องกลมของหัวเข็ม





    หน้าปัด aventurine หายากมาก ๆครับ โดยมากจะเป็นหน้าพรายน้ำธรรมดา , หาสายหนังสวยๆ จาก expert มาสลับใส่ได้


















  ราคา 149,000 บาท โทร 081-9235783 หรือ ไลน์ visitnaliga



289















Eterna Open Heart Mother of Pearl Diamond

- ตัวเรือนสตีลขนาด 34 มม  กระจกด้านหน้าแซฟไฟร์ ด้านหลังเป็น mineral  กันน้ำ 50 เมตร

- กลไกออโตเมติก ETA 2824-2 ขึ้นลานมือและแฮคเข็มวินาทีได้

- หน้าปัดมุกเทา เวลาเล่นแสงสวยงาม. ประดับเพชรแท้จากโรงงาน. Top Western , VVS 85 เม็ด น้ำหนักรวม 0.44 กะรัต

- มาพร้อมสายผ้าซาตินสีดำ กล่อง คู่มือ ผ้าเช็ด ไม่มีใบครับ

- นาฬิกาสภาพ 99.9% ไม่เคยใส่   ราคาป้าย 15x,xxx บาท









  ขอขาย 49,000 บาท โทร 081-9235783 หรือ ไลน์ visitnaliga




290


























Daniel Roth Premier Retrograde with Date กล่อง คุ่มือ ใบรับประกันครับ

- ตัวเรือนสตีล ขนาด 35x 41 mm  กระจกแซฟไฟร์

- กลไกอินเฮ้าส์ DR700/10 เดินด้วยความถี่ 18000 bph สำรองพลังงาน 40 ชม.  (low beat rate ดีหรือไม่ดียังไง ลองอ่านบทความนี้ดูนะครับ http://people.timezone.com/library/comarticles/comarticles0017






- หน้าปัดแสดงเวลาแบบ 2 เข็ม  ชั่วโมงดีดกลับ (retrograde) และวันที่ quick set

- มาพร้อมสายหนังจระเข้ และบัคเคิ้ลของเดิม Orignal 

- นาฬิกาสภาพดี ไม่มีรอยหนัก มีรอยแมวบาง เดินดีปกติ สายหนังเดิมสภาพยังสวยครับ






















 


     ราคา 129,000 บาท โทร 081-9235783 หรือไลน์ Visitnaliga





    สำหรับ Daniel Roth " The Man ,Not The Brand" เป็นคำที่วงการให้คำยกย่องไว้ครับ  ...








    ถ้าพูดถึง "Independent Watchmaker" หรือ แบรนด์ดนาฬิกาอิสระ  Daniel Roth ถือเป็นผู้บุกเบิกในยุคแรก ๆ  ตัวอย่างแบรนด์ที่เป็นรุ้จักในบ้านเรา และที่ผมเคยได้ยิน
(จริงๆ ยังมีอีกมาก ที่เมืองนอก และกลุ่มที่ชอบนาฬิกาแบบเข้าเส้นจริงๆ และ มีกำลังทรัพย์ แบบเหลือจริงๆ ครับ ) 

- Daniel Roth (เริ่มผลิตนาฬิกาของตัวเองปี 1989 )  ตัวเรือนที่เป็นเอกลักษณ์ + tourbillion




- Philippe Dufour (1989) คอลเลคชั่น "Simplcity "



 
- Felix and Thomas Baumgartner (1997) "Urwerk"




F.P Journe (1999) "Chronometre A Resonance"





 
     Daniel Roth ได้ผ่านการทำงานอยู่เบื้องหลังแบรนด์นาฬิกาดัง ๆ เช่น Audermars Piguet ก่อนจะย้ายไป Breguet ด้วยอายุยังไม่ถึง 30 ปี 
เป็นผู้อยุ่เบื้องหลังของ Breguet 3130 ซึ่งถือเป็น Iconic ของ Berguet มาจนถึงทุกวันนี้ โดยได้แรงบันดาลมาจากนาฬิกาพกของ Breguet เอง





 
      ภายหลัง Breguet ได้เปลี่ยนเจ้าของ ทำให้ Daniel ได้ลาออก และเริ่มทำนาฬิกาภายใต้ชื่อตัวเอง "Daniel Roth "






    ** สำหรับ Independent watch เปรียบเหมือนงานศิลปะครับ ปีนึง ผลิตมาได้ไม่กี่เรือน  ราคาแต่ละเรือน จะหลักล้าน ถึงหลายสิบล้าน  :o :o





ภาพโรงงงาน ของ Daniel Roth เมือง Le Sentier ประเทศสวิส (สมัยก่อตั้งแบรนด์แรก ๆ ) / ภาพที่ทำงานของ Daniel Roth ภายใต้แบรนด์ "Jean Daniel Nicolas"








       ปัจจุบัน ​แบรนด์ Daniel Roth ได้ถูกซื้อไปโดย bvlgari ก็ยังคงดีไซน์แบบเดิมอยุ่ แต่ไม่ได้ตีตรา Daniel Roth ที่หน้าปัดแล้วนะคับ ลองชมได้ที่เวปของ Bvlgari ได้เลย

http://www.bulgari.com/en-gb/products.html?root_level=317&aesthetic_line=51

 
    และทาง Danie Roth ได้ทำนาฬิกาภายใต้แบรนด์ใหม่   " Jean Daniel Nicolas"  รุ่น 2 minute tourbillion (ปกติ tourbillion จะเดินครบรอบใน 1 นาที แต่นี่เดินแบบ low rate 2 นาที -เด่วขอไปศึกษา แล้วเดี่ยวมาเล่าให้ฟังนะครับ )







   **  สำหรับท่าน ที่อยากลองสัมผัส Independent Watch  อมตะแบนด์นึง ที่เป็นตำนานในวงการนาฬิกาไปแล้ว หายากที่สภาพดีๆ และอุปกรณ์ครบ

  ท่านที่ไม่เคยต้องลองครับ คนละฟิลลิ่งกับแบรนด์ดัง ๆระดับโลกครับ  รุ่นนี้ ประมูลกันที่ Christie's ปี 2014 ราคาจบไปที่ ~5,xxx USD ครับ


 


291
     















นาฬิกาตั้งโต๊ะ Corum Jolly Roger

- วัสดุทำจากเหล็ก ขนาด 4x4x3.5 นิ้ว

- น้ำหนัก ประมาณ 700 กรัม

- นาฬิกาควอทซ์ ,ตั้งปลุกได้

- สภาพสวย เดินตรง ปลุกดี ครับ





    ราคา 69,000 บาท
โทร 081-9235783หรือ ไลน์ visitnaliga   




ราคาเมืองนอกครับ


292



























 Rado D Star Automatic

-ตัวเรือน diffuse carbon สตีล ขนาด 42x45 มม ตัวเรือนรูปไข่  กระจกแซฟไฟร์ กันน้ำ 100 เมตร

- กลไกออโตเมติก ETA 2824-2

- นาฬิกาสภาพดี มีร้ิวร้อยเล็กน้อย   กล่อง ใบ คู่มือ ผ้าเช็ด ป้ายห้อยครบ ใบลงเดือน 9 ปี 2019 ประกันทั่วโลก 2 ปี


 ** สลัดภาพความเป็นนาฬิกากำนัน กลายเป็น dress watch ที่สวย เนี้ยบ เรียบ หรูเรือนนึงเลยครับ  **
















ราคา 25,000 บาท โทร 081-9235783 หรือ ไลน์ visitnaliga

293

















Corum Coin Watch 20 dollar ปี 1856 เหรียญเวอร์ชั่นแรก (ผลิตช่วงปี 1849-1866)


- ขนาด 35 mm ไม่รวมเม็ดมะยม บางเฉียบเดรสสุด ๆ เพียง 3 mm

- หน้าปัดและด้านหลังเป็น เหรียญทองคำแท้ 22k ผลิตจากโรงกษาปณ์ ที่ Philadephia สภาพสวย  อายุ 115 ปี ตัวเรือนเป็นทอง 18k

** ร้ิวรอยบนเหรียญ หรือ "living mark" เกินจากการใช้งาน เป็นเหรียญที่ใช้กันในชีวิตประจำวันจริง ๆ **

- เครื่อง Corum Quartz เม็ดมะยมเพชรแท้ บัคเคิ้ลทองชุบของ Corum สายหนังไม่เดิม ไม่มีกล่องใบ










    เหรียญ Liberty Head มูลค่า20$ (double eagle) นี้ หล่อที่โรงกษาปณ์ Philadephia เมื่อปี 1900 ซึ่งผู้ออกแบบคือ Mr. James B Longrace ในปี 1849 และ
    ได้ผลิตเรื่อยมาจนถึงปี 1907 โดยมีทั้งหมด 3 เวอร์ชั่น ด้าน Liberty เป็นศรีษะของเทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty) ที่ประเทศฝรั่งเศสมอบให้อเมริกาในโอกาส
    ครบรอบ 100 ปี วันประกาศอิิสรภาพ เมื่อ 4 กค 1876 , จำนวนดาวหมายถึง จำนวนรัฐในเวลานั้น 13 รัฐ ระบุปีที่หล่อเหรียญ และสลักชื่อ J.B.L. ที่ต้นคอ


     


     
 





      อีกด้าน ใช้สัญลักษณ์ "The Great Seal of United State"  โดยอินทรีย์เป็นสัตว์ประจำชาติของอเมริิกา ปากคาบม้วนกระดาษมีข้อความภาษาละติน " E Pluribus Unum"  แปลว่ One from many ( หมายถึง 13 รัฐในตอนนั้นรวมเป็นชาติเดียว )  , โล่ห์แถบ 13 แถบหมายถึงรัฐ หรือชาติ ปกป้องโดย อินทรีย์  ด้านบนเป็นทางช้างเผือกและมีดาว 13 ดวง หมายถึง รัฐทั้ง 13 อยู่ท่ามกลางชาติอื่น ๆ  / กรงเล็บมีธนู 13 ดอกและช่อมะกอก หมายถึงความสงบ และสงคราม ...




     
     


     รูปแบบของเหรียญด้านอินทรีย์ จะมี 3 เวอร์ชั่น ตามรูปด้านล่าง โดยแบบแรก จะยังไม่มีข้อความ IN GOD WE TRUST และใช้ D. แทน DOLLARS ซึ่งผลิตในช่วงแรก จะไม่ค่อยพบนาฬิิกาที่ใช้เหรียญรุ่นนี้มาทำมากนัก ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้ออื่นๆ นับเป็นเหรียญท่ี่หายากในระดับนึง

     รูปแบบที่สอง จะมีข้อความ IN GOD WE TRUST และใช้ D. ก็ยังพอพบบ้าง ที่มาทำเป็นนาฬิกา ส่วนเวอร์ชั่น 3 จะพบเห็นบ่อยสุด โดยมีข้อความ IN GOD WE TRUST และใช้ DOLLARS แทน D.






ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเหรียญ Lady of Liberty ที่ออกแบบโดย Saint-Gaudens (1907-1933)






    กระบวนการทำ Corum คัดเลือกเหรียญทองที่ใช้งานในชีวิตจริง โดยเลือกเหรียญที่สมบูรณ์ และ นำมาฝานเหรียญออกเป็นสองด้าน และใส่กลไกนาฬิกาเข้าไปครับ
    ต้องใช้ความปราณีตโดยช่างฝีมือชั้นครูจริงๆ ครับ







































   

   ราคา  149,000 บาท โทร 081-9235783 หรือไลน์ Visitnaliga




  อ่านเรื่องราวของเหรียญทองเพิ่มเติมได้ครับ    https://forum.expert-watch.com/index.php?topic=57549.0

294
 รบกวนสอบถาม รูปที่อัพผ่าน Photobucket แล้วนำมาแปะ ปกติขนาดเดิม แต่หลังมานี้ ขนาดมันใหญ๋มากเลยครับ ผมใช้กล้องเดิม อัพผ่านแอปเดิมครับ

  ผมลองแคปเจอรูปหน้าจอแล้ว upload แล้วเอามาแปะอีกทีก็ใหญ่เหมือนเดิมเลยครับ

 ลองไปโพสต์ในเวปอื่นขนาดไม่ใหญ่แบบนี้ครับ ไม่รู้ว่าผมไปเซทค่าอะไรผิดหรือเปล่าครับ ขอบคุณครับ


ปล.ภาพตัวอย่างครับ













295
     




        ย้อนเวลาไปในช่วงทศวรรษ 1960's  Corum ได้ผลิตนาฬิการุ่นเหรียญทอง Coin Watch  เป็นครั้งแรกในปี 1964
จำนวน 12 เหรียญ โดยทาง Corum ได้ไปเสาะแสวงหาเหรียญทองคำแท้ ที่ยังเหลืออยุ่จริงในมือนักสะสม  (ซึ่งเหรียญทองคำ ได้ถูกยกเลิก และเรียกคืนในปี 1933 สมัย ประธานธิบดี แฟรงคลิน ดี รูสเวลท์  )  ส่วนประวัติของเหรียญทอง ว่าหล่อที่ใดเป็นครั้งแรกไม่เป็นที่แน่ชัด แต่เชื่อกันเริ่มผลิตในยุคตื่นทองในแคลิฟอร์เนีย ในปี 1848 "The California Gold Rush"




    ซึ่งทองที่ขุดได้นั้น มีมูลค่า สามารถนำไปแลกอาหาร สินค้า รวมทั้งออกเป็นตั๋วมุลค่าของทองนั้น จนกระทั่งมีการหล่อเหรียญทองคำออกมา ตามมูลค่าต่าง ๆ และรูปแบบแตกต่างกัน ตามแต่ละโรงกษาปณ์ที่จะหล่อเหรียญออกมา



   ซึ่งจะมีการตีตรา mintmark ไว้บนเหรียญ ว่าหล่อจากโรงงานหล่อเมืองไหนThe mint marks are "C", "CC", "D", "D", "O", "P", "S", and "W".

"C": Charlotte, North Carolina (gold coins only; 1838–1861).
"CC": Carson City, Nevada (1870–1893).
"D": Dahlonega, Georgia (gold coins only; 1838–1861).
"D": Denver, Colorado (1906 to date).
"O": New Orleans, Louisiana (1838–1861; 1879–1909).
"P": Philadelphia, Pennsylvania (1793 to date).
"S": San Francisco, California (1854 to date).
"W": West Point, New York (1984 to date)
ถ้าเหรียญที่ไม่มี Mint mark จะเป็นเหรียญที่ผลิตจาก Philadephiaในช่วงก่อนปี 1793
 
 

    สำหรับเหรียญที่ Corum เลือกมาผลิตนาฬิการุ่นนี้ ชื่อรุ่น Head of Liberty ออกแบบโดย James B. Longacre ผลิตในช่วงปี 1849 - 1907 ที่ด้านหนึ่งจะเป็นรูปเทพีสันติภาพซึ่งล้อมด้วยดวงดาว 13 ดวง หมายถึงอาณานิคมที่รวมตัวกันประกาศเป็นอาณานิคมอิสระบนทวีปอเมริกา อีกด้านหนึ้งแสดงสัญลักษณ์ของอเมริกาอันประกอบด้วยนกอินทรี และข้อความ in god we trust ล้อมลอมด้วยดวงดาว อุ้งเล็บของนกอินทีย์ รั้งกิ่งของมะกอกและลูกศร กิ่งมะกอกเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพลูกศรเป็นสัญลักษณ์แห่งอิสระภาพ


   ซึ่งเหรียญมูลค่า 20 ดอลลาร์ หรือที่เรียกกันว่า Double Eagle ขนาด ประมาณ 34 mm ประกอบด้วยทอง 90% copper 10% น้ำหนักรวมประมาณ 33 กรัม (คิดเป็นน้ำหนักทองก็ราว ๆ 30 กรัม)

    ซึ่งชื่อ Double Eagle  นั้นมีที่มา จากในยุคแรกของการผลิตเหรียญทอง มูลค่าเหรียญที่สูงสุดคือ 10 ดอลลาร์
 ( จะมีสัญลักษณ์มาครบ ทั้ง อินทรีย์ ช่อมะกอก และ ลูกศรครับ พอจะผลิตเหรียญ 20 ดอลลาร์ ก็ไม่สามารถจะหาออปชั่นไรใส่เพิ่มได้แล้วครับ ก็เลยสัญลักษณ์เหมือนกับ 10 ดอลลาร์ )






  ซึ่งคนมักจะนิยมเรียกกันว่า eagle dollar (10 dollar ) จนกระทั่งในปี 1850 สภาคองเกรสในอนุมัติผลิตเหรียญมูลค่า 20 ดอลลาร์ ขึ้นมา (ด้วยสาเหตุทาง เศรษฐกิจและการเงินนะคับ อันนี้ผมไม่เข้าใจเหมือนกัน  :'( ) คนจึงมักเรียกเหรียญมูลค่า 20 ดอลลาร์ ว่า Double Eagle ครับ
    
    แล้วมูลค่ามันเยอะขนาดไหน ในช่วงเวลานั้น ... ในปี 1900 ราคาเข้าพักที่ The Plaza Hotel ตกคืนละ 1.5 ดอลลาร์ (ปัจจุบัน คืนละ 2,500-3,000 ดอลลาร์คับ) ค่าเบียร์ ค่าแซนวิซ ดูหนัง อีกตั้ง 75 cents...
    แค่เพียง double eagle เหรียญเดียว คุณสามารถใช้ชีิวิตแบบ First Class ได้เป็นสัปดาห์ในนิวยอร์คเลยครับ  :o :o


   
       ในปี 1933  ปธ.รูสเวลท์ ประกาศเรียกคืนเหรียญทองคำ และห้ามใช้ ทำให้มูลค่าทางตลาดของเหรียญทองคำสิ้นสุดลง แต่คุณค่าในตัวเหรียญเอง และประวัติศาตร์ทางการเงินที่ยาวนาน ทำให้มูลค่าในหมู่นักสะสม ไม่ได้หมดสิ้นไป กลับเพิ่มทวีคูณ แบบไม่อาจจะคาดถึง ..




 

   
 เหรียญ Duble Eagle รุ่น Lady Liberty ผลิตในปี 1933 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่มีการผลิตเหรียญทอง


   ประมูลจบไปในปี 2002 ที่ราคา 7.59 ล้านเหรียญดอลลาร์ครับ  :o :o


  ในปี 1964 Corum ได้ผลิตนาฬิกา โดยใช้เหรียญ Double Eagle ที่คัดเลือกมาจากนักสะสม ที่สภาพสมบูรณ์ที่สุด (เอกลักษณ์ของ เหรียญทองที่นำมาผลิต แต่ละเหรียญจะมีสภาพ และร่องรอย คราบ ไม่เหมือนกันครับ .. บางคนถือว่าเป็น รอยจารึกทางประวัติศาสตร์ที่ยังมีีชีวิตครับ )  มาผลิตเป็นนาฬิกา โดยผ่านกระบวนการฝานเหรียญออกเป็น 2 ฝั่ง และบรรจุด้วยกลไกไขลาน แบบบางพิเศษ  โดยช่างชั้นครูจาก Corum ผลิตจำนวน 12 เรือน ซึ่งถูกจองหมดอย่างรวดเร็ว

 



  


ภาพตัวอย่างการทำนาฬิกา ต้องฝานเหรียญเป็น 2 ด้านและบรรจุกลไกลงไป








  รุ่นหลังได้ผลิตแบบมีนาฬิกาฝังอยู่ภายในตัวเหรียญ (หลายยี่ห้อได้ผลิตดีไซน์แบบนี้ออกตามกันมา ไม่ว่าจะเป็น Vacheron , Audermars Piguet )






    ก่อนที่เปิดตัว รุ่น Coin Watch อย่างเป็นทางการในงาน Bazel 1965 ซึ่งได้มีการเลือกเหรียญทองคำรุ่นมาผลิต แต่ที่เห็นกันบ่อย จะเป็นเหรียญรุ่น Head of Liberty  เพิ่มกลไก มีควอทซ์ ,และ ออโตเมติก สายหนัง และสายทอง เม็ดมะยมเพชร ทับทิม โกเมน  จวบจนกระทั่งปัจจุบัน  

   Corum Coin watch ถือเป็นรุ่นในตำนานของ Corum และวงการนาฬิกาครับ ถ้าเอ่ยถึง Coin Watch ก็ย่อมจะนึกถึง Corum เป็นลำดับแรกครับ ถ้าจะเอ่ยถึง Corum รุ่น เหรียญทอง ก็ถือเป็นรุ่นที่สูงสุด อมตะขึ้นหิ้งเลยนะคับ ซึ่ง ปธน.สหรัฐ หลายคน และ บุคคลที่สำคัญต่าง ๆของโลก ได้มีนาฬิการุ่นนี้ เป็นหนึ่งใน Collection ครับ

  



  ภาพตัวอย่าง 20 dollar quartz






  สำหรับเรือนนี้ ใช้เหรียญรุ่น Liberty Head 20 ดอลลาร์ ผลิตที่่โรงกษาปณ์ San Francisco  จำนวน 2,459,500 เหรียญ (แต่จำนวนที่เหลือในปัจจุบัน ไม่มีข้อมูลครับ )
มูลค่าเฉพาะตัวเหรียญ อยู่ที่ 1,300-2,200ดอลลาร์ ขึ้นอยุ่กับความสมบูรณ์ของเหรียญ

 









 



 ราคาในปี 1968  รุ่นไขลาน ราคา  $1000 ราคาทองในปีนั้น 40.45 $ ต่อออนซ์ครับ เทียบกับราคาทองในปัจจุบัน 1334$ ต่อออนซ์ครับ 


  คิดเทียบไตรยางค์แบบง่าย ๆสนุก ๆนะครับ ถ้าซื้อ Corum เหรียญทองในปีนั้น เท่ากับซื้อทองได้ ~25 ออนซ์ครับ เทียบกับมูลค่าราคาทองในปัจจุบัน ก็ตกราว ๆ 33,350$ บาท ครับ  :o  :o   

(  ราคา Corum เหรียญทองในปัจจุบัน ถ้ารุ่นออโต สายทอง ราคาตั้งราว ๆ 2 ล้านบาทนะครับ )

296
  


     ขอย้อนไปประวัติของ  Corum ซักนิดนะครับ , นาฬิกา Corum ถือเป็นแบรนด์นาฬิกาสวิส ที่ไม่เก่าเท่าไหร่ครับ ก่อตั้งในปี 1955 แต่ไม่น่าเชื่อนะครับ ว่าบางรุ่นของ Corum ถือเป็นรุ่นคลาสสิค อมตะ และเป็นที่ต้องการของผู้ที่เล่น และสะสมนาฬิกาทั่วโลก
 
   "The watchmaking industry may be steeped in age-old traditions, but that does not mean it cannot be playful. The Corum  is a perfect example of delightful and value for collection timepieces"
    
     Collection ที่เป็นอมตะของ Corum อาทิเช่น ...


   China hat (1958 ) ,Coin Watch (1964) ,Feather (1970 เอาหางนกยูงมาทำหน้าปัด) ,Rolls-Royce (1976)
Golden bridge (1980) และ Admiral's Cup (1983)
    ติดตามแบบละเอียดได้ที่ official website ของ Corum ได้ครับ  https://www.corum.ch/en/brand

  จนกระทั่งในยุคที่นาฬิกาจักรกลซบเซา เนื่องจากการมาของนาฬิกา quartz ทำให้แบรนด์ Corum ประสบภาวะขาดทุน ถึงขนาดต้องขาย Brand
ให้กับ Mr. Severin Wunderman ในปี 2000

 

 ซึ่ง Mr.Severin ประวัติไม่ธรรมดานะครับ อดีตเป็นเซลบริษัทผลิตนาฬิกา และได้ลาออก มาผลิตนาฬิาให้กับ Gucci เป็นเวลากว่า 25 ปี ,ทำยอดขายให้นาฬิกากุชชี่หลายล้านเหรียญดอลลาร์กันเลยทีเดียว

    ซึ่งการมากุมบังเหียนของ Mr.Severin นั้นในงาน Bazelworld ปี 2000 Corum ได้เปิดตัว  Collection ใหม่


    
     Corum Bubble , Trapeze (คางหมู) , Rocket , Sugar Cube และ Horizon (หมุนพลิกได้)  
 
        ซึ่งเป็นที่ฮือฮาในวงการพอสมควร และประสำความสำเร็จ ทำให้ Corum ยืนหยัดมาได้จนถึงทุกวันนี้

   โดยเฉพาะ Bubble ที่ Mr.Severin ได้แรงบรรดาใจมาจาก Rolex รุ่น Special Deep sea  ที่มีกระจกแซฟไฟร์อันหนามหึมา
เพื่อไว้รับแรงดันในการดำนำ้ลึก ขนาด 51.2mm  กันน้ำถึง 35,840 feet  หรือ 11,000 metre  :o :o  กระจกแซฟไฟร์หนา 14.3 mm




 

     ทาง Corum Bubble ใช้กระจกนูน Dome Sapphire Crystal หนาถึง 11mm และ เหมือนเป็นเลนขยายหน้าปัดไปในตัว  




     สำหรับ Corum Bubble จะมี  2 รุ่นหลัก ก็คือรุ่นปกติ และรุ่น ดำน้ำ โดยรุ่นดำน้ำจะมีขอบเบเซลที่หมุนได้ และสเปคการกันน้ำมากกว่ารุ่นปรกติ  ในแต่ละรุ่น ก็จะมีรุ่น ธรรมดา 3 เข็ม และ จับเวลา มีทั้งควอทซ์ และออโตเมติก (จะมีรุ่นประดับเพชร ส่วนขนาดจะมี ไซส์ XL ,Lady และ Mini )  แต่รุ่นดำน้ำ จะมีแต่ออโตเมติก และไซส์ XL



       ส่วนรุ่นพิเศษของ Bubble จะมี 4 collection

1. Bubble (Limited)  Collection (ปี 2000-2006)  : ผลิตจำนวนจำกัดใน 1 ปี ไม่มีเลขลิมิเต็ดประจำตัวเรือน




  
  ปี 2000 :Swiss Flag The First Bubble Collection
     2001 :Four color         2002 :Zodiac (หน้าเหลือง)
     2003 :Casino              2004 :Tiger/ Shark bomber (มี 2 หน้าปัด)
     2005 :Bat                  2006 :Royal flush

   * เสน่ห์ของ Bubble อีกอย่าง ก็คือกล่องของรุ่นพิเศษ ซึ่งจะดีไซน์ให้เข้ากับตัวเรือนนาฬิกา ซึ่งสำหรับ Collection นี้ เริ่มทำในรุ่น Casino ในรุ่นก่อนหน้านี้ ก็จะเป็นกล่องธรรมดา  :'( ต่างจาก Collector Series ที่มาพร้อมกล่องแบบพิเศษตั้งแต่รุ่นแรก Jolly Roger
 
2.Collector Series (2001-2007) :ผลิตจำนวนจำกัดในแต่ละปี และมีเลขประจำตัวเรือน
   2001 : Jolly Roger ผลิต 500   เรือน     2002   :Joker           ผลิต 777 เรือน
   2003 : Lucifer      ผลิต 666   เรือน     2004   :Night Flyer    ผลิต 999 เรือน
   2005 : Privateer   ผลิต 1995  เรือน     2006   :Baron Semidi ผลิต 777 เรือน
   และปีสุดท้าย 2007 Gangster ผลิต 888 เรือน




3.Special Edition ที่ Corum ทำขึ้นมาเอง  : ผลิตเป็นระยะเวลาหลายปี ไม่ทราบจำนวนผลิตแน่นอน เช่นรุ่น Skeleton ,GMT, มาร์คเก้อสี และเรือน PVD





4.รุ่นพิเศษต่าง ๆ (สั่งทำ/Corum ผลิตเอง)  : รุ่นคุณพุ่ม ,Zodiac หน้าปัดน้ำเงิน , Prince Monaco ,รุ่นธงชาติ USA  ,รุ่น BMW ,รุ่น Golf เป็นต้น ซึ่งแต่รุ่นก็จะมีที่มาของเหตุการณ์ต่างๆ หรือในวาระที่พิเศษต่าง ๆกัน บางรุ่นทำหลักสิบ บางรุ่นทำแค่เป็นร้อยเรือน

  

    และจะมีอีกคอลเลคชัน แบบพวก In-Dept Collector ครับ พวกเรือนทอง และล้อมเพชร



         ไม่น่าเชื่อนะครับ นาฬิกาที่ผลิตแค่ช่วงเวลาไม่ถึง 10 ปี กลับมาอะไรให้น่าติดตาม ค้นหา Collector Bubble ก็พยายามจะเก็บ ตามหา จัดคอลเลคชั่นของตัวเองให้ครบ ๆ ซึ่งอีก collection หนึ่งซึ่งหายากมาก และราคาพอสัมผัสได้ ก็คือ ธงชาติครับ

  

        ธงชาติสวิส ถือเป็นตัวแรกครับ (อาจจะมีที่มาจากรุ่น Admiral's Cup ที่ใช้สัญลักษณ์ธง แทนมาร์คเกอร์ จนเป็น Signature ของแบรนด์ไปแล้ว และเอาประเทศ สวิส ที่ถือเป็นประเทศแม่ของนาฬิกาข้อมือ.. ผมคิดเองนะครับ)
      
        และก็มีออกมาตามเหตุการณ์ หรือการสั่งทำพิเศษ ต่าง ๆ ซึ่งประวัติ และที่มาของบางรุ่น นี่หาไม่ได้เลยจริง ๆขนาดเมล์ไปถามทาง Corum ก็ยังไม่ได้คำตอบ ครับ .. น่าน้อยใจ แม้กระทั่งในเวปไซต์ Corum ทุกวันนี้ ไม่มีรุ่น Bubble ในสารบบเลยครับ  :'(
 (แต่ในหมู่คนเล่นและชื่นชอบ สะสมนาฬิกา แทบทุกคน ทีอยากจะหาโอกาสลองบับเบิ้ลกันดูสักครั้งนะครับ  :o)

    

   - USA Flags :ผลิต 500 เรือน ,โดยทาง Corum หักรายได้เรือนละ $500 บริจาคเข้ามูลนิธิดูแลบุตรหลานของ จนท. อาสา ตำรวจ นักดับเพลิง
     ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์  911
   - Union Jack  Flag : ผลิตเพียง 20 เรือน ทีระลึกในการทัวร์คอนเสริ์ตของวง Rolling stone
   - Protuguese Flag : ผลิตเพียง จำกัดเพียง 33 เรือน ไม่ทราบที่มาเหมือนกันครับ

      ฉากจบของ Corum Bubble ก็มาถึงเมื่อ Mr. Severin ได้เสียชีวิตด้วยโรค Stroke ที่ประเทศ ฝรั่งเศส ในวันที่ 25 มิย 2008
นับเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการนาฬิกา ทาง Corum ได้ผลิตนาฬิกา Bubble เป็นที่ระลึกในการจากไปของ Severin


  
 
       ผลิตจำนวน 250 เรือน ... นับเป็นนาฬิกา Bubble Limited รุ่นสุดท้าย

     บทสัมภาษณ์ ThePuristS Interview Severin Wunderman Chairman of Montres Corum SA เมื่อปี 2003
    https://www.tp178.com/tjn/corum/sw/sw%5B2a%5D.htm
 

    ในปี 2015 Corum ได้จัดทำ Bubble ออกมา 3 รุ่นด้วยกันครับ .... Bubble is Back ...เชิญชมวีดีโอเปิดตัว ในงาน Pre-Basel 2015 ครับ

https://m.youtube.com/watch?v=RvpKbbl8O8Y




         ราคาเปิดตัวสำหรับตัวออโตเมติก PVD และ Bronze   ราคา 18x,xxx บาท นะครับ
  ตัวหน้าเปลือย เห็นลงขายในบ้านเรา 25x.xxx บาทครับ   :o :o  






 ขอปิดท้ายด้วยภาพนี้ครับ


" I wish you a fascinating voyage in Corum's universe "




297
ถ้าพูดถึงแบรนด์นาฬิกาญี่ปุ่น ที่มีประวัติยาวนาน คอลเลคชั่นต่าง  ๆ และ รุ่นวินเทจ เป็นที่ยอมรับในหมู่นักสะสม หรือคนที่สนใจนาฬิกา คงจะมี Seiko ครับ ที่สูสีกับแบรนด์จาก swissได้ 
 

    ตามประวัติ Seiko ถือกำเนิดในปีค.ศ 1881 โดย Mr.Kintaro Hattori  ได้เปิดร้านขายนาฬิกา และเครื่องประดับ ทีโตเกียว ใช้ชื่อร้านว่า K.Hattori



    หลังจากนั้น 11 ปี ในปี ค.ศ.1892 Mr.Hattori ได้เริ่มผลิตนาฬิาตั้งโต๊ะ และพัฒนาจนกระทั่งผลิตนาฬิกาข้อมือ ยี่ห้อ "Seiko" สำเร็จเป็นเรือนแรกในปี 1924  โดยคำว่าไซโก้ มีความหมายว่า ความสำเร็จ หรือ ความสุดยอด 



First Seiko Watch Year 1924

    นับจากวันแรกที่เริ่มเปิดร้านขายนาฬิกา จนกระทั่งวันนี้ เป็นเวลากว่า 120 ปี  ไซโก้ได้ผลิตนาฬิาการุ่นต่าง ๆ มากมาย  ซึ่งรุ่นที่เป็นที่ยอมรับในหมู่นักสะสมนาฬิกา ก็คงหนีไม่พ้น  Grand Seiko และ ตระกูล Diver ผมขอเล่าประวัติ Seiko Diver คร่าว ๆนะครับ
 
      รุ่นแรกของ Seiko Diver ออกวางจำหน่าย เมื่อปี 1965 รหัส 6217 มักเรียกกัน 62MAS  (MAS stands for autoMAtic Selfdater )
 

     ผลิตช่วงปี 1965-1968กันน้ำ 150 เมตรราคาตั้ง 13,000 เยน
 ราคาซื้อขายในตลาด บางช่วงสูงไปถึง 1,000$-3,000$ 
 

      และรุ่นถัดมาคือ รหัส 6105 รุ่นแรก เคสเป็นรูปทรงถังเบียร์ และแต้มจุดแดงที่เข็มวินาที ผลิตในช่วงปี 1968-1970


 
    และรุ่นถัดมา ผลิตในปี 1970-1977 ตัวเรือนที่หนาขึ้น นิยมเรียกกันว่าทรงจานบิน และมีบ่าตรงเม็ดมะยม ซึ่งรุ่นนี้ถือเป็นรุ่นที่นิยม นักสะสมตามหากันมาก จากสมรภูมิสงครามเวียดนาม และภาพยนต์เรื่อง Apocalypse นำแสดงโดย Martin Sheen




     ในรุ่นถัดมา รหัส 6306/6309 ผลิตในช่วง 1976-1981 ได้เปลี่ยนชุดแข็มแบบหัวลูกศร
(เป็นต้นกำเนิดของเข็ม Grand Seiko )



  และ รหัส 7002 ผลิตในช่วง 1988-1996 อาจจะนับเป็นรุ่นสุดท้ายที่กันน้ำ 150 เมตร

 
   หลังจากนั้น Seiko ได้เริ่มผลิตรุ่นกันน้ำ 200 เมตร ในช่วงแรกยังใช้รหัส 7002 และหน้าปัดสกรีน กันน้ำ 200 เมตร


 จนเปลี่ยนรหัสเป็นรุ่น skx000 โดยใช้เครื่องตระกูล 7s เพิ่มฟังก์ชั่น สัปดาห์ แต่ยังคงเข็มรุ่นดั้งเดิมเอาไว้ ซึ่งยังคงจำหน่ายถึงปัจจุบัน



                 
           พักที่ ระดับความลึก 150 เมตร ด้วยภาพนี้ครับ เด่วดำดิ่งไปกันต่อครับ
     

   

      การผลิตนาฬิกาดำน้ำได้ ถือเป็นการแสดงถึงศักยภาพของแบรนด์ในระดับนึง เนื่องจากต้องมีทั้งการกันน้ำ กันสะเทือน และพรายน้ำที่สว่าง เพื่อให้เหมาะสมในการใช้งานจริง



   

   
      ย้อนไปในปี 1967 หลังจากที่ seiko ได้ผลิตรุ่น 6217 ออกมาได้ 2 ปี ทางทีมวิศวกร ได้ผลิตนาฬิกาที่มีความสามารถกันน้ำได้ 300 เมตร ได้สำเร็จ
ภายใต้รหัส 6215 ความถี่ 18,000 bph (low-beat)
 
 



     ด้วยตัวเรือน Monocoque กันน้ำ 300 เมตร เข็มมีไม่มีจุดแดง มารคเก้อตรงขอบเบเซิลสีเงิน
    ถือเป็นรุ่นที่หายากรุ่นหนึ่ง เนื่องจากผลิตจำหน่ายแค่ช่วงปีเดียวเคยมีการนำมาประมูลในราคาสูงถึง  13,000$ ครับ

     
     ถัดมาอีกปี ในปี 1968 Seiko ได้นำเครื่อง Cal.6159 Hi beat (36,000bph)  ซึ่งใช้ใน Grand Seiko มาใช้แทน ภายใต้รหัส 6159-7001 หน้าปัดสกรีน professional ,แต้มจุดแดงที่เข็มวินาที และ มารคเก้อตรงเบเซิลสีทองครับ





   ซึ่งไซโก้ได้ผลิต seiko 6159 (รหัส 7001) แค่เพียงปีเดียว 1968-1969 ทำให้รุ่นนี้เป็นที่นิยม และหายากมาก ๆ   ราคา 6159-7001 ในเวปประมูลขายกันราว 4,000$
 
     หลังจากปี 1969 เราก็ไม่ได้เห็น Seiko ดำน้ำ 300 เมตร รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดอีกเลย ...
(ทำท่าเหมือนจะอวสานของ Seiko ดำน้ำ 300 เมตรนะครับ )

   แต่สิ้นสุดการรอคอยอันยาวนานถึง 30 ปี ในปี 2000 Seiko ได้ผลิตรุ่น " Seiko Historical Collection " รหัส SBDX003 จำนวนจำกัด 500 เรือน






   ขออณุญาตรัวภาพครับ ถือเป็นรุ่นในตำนาน ที่เรายังพอสัมผัสกันทัน
โดย SBDX003 นี้ ใช้เครื่อง รหัส 8L35 ความถี่ 28,800bph (เบสเดียวกับ Grand Seiko)
หน้าปัดสกรีน professional ,เข็มวินาทีดั้งเดิม แต่ต่อปลายเข็ม (คล้ายเข็มของรุ่น 6105 ) ไม่แต้มจุดแดง ,มารคเก้อตรงเบเซิลสีเงิน มาพร้อมกับสายยางวัฟเฟิลเส้นเดียว



 
  ในวงการถึงกับยกย่องเป็น " Grail Arrival" กันเลยทีเดียวครับ ราคาจำหน่ายตอนนั้นน่าจะ
ราว 6-70,000 บาท  ราคาในปัจจุบัน ขายกันที่ 4,000$ ++

     ** ในช่วงปี 1975 Seiko ได้ผลิต รุ่นกันน้ำ 600 เมตร รหัส 6159-002


      ผลิตในช่วง 1975-1978 ครับ เรียกว่าเป็นบรรพบุรุษของ Seiko Tuna ก็ได้ครับ
ตัวเรือนเป็นไทเทเนียม ผสมเซรามิค กันน้ำ 600 เมตร โดยที่ไม่ต้องมี Helium Value
   แต่ขอข้ามไปก่อนครับ เดี๋ยวจะลึกไปกว่านี้  ขอลอยคอที่ระดับ 300 เมตรก่อนนะครับ

      ในปี 2001 ทาง seiko ก็ได้ผลิตนาฬิกาดำน้ำ 300 เมตร ภายใต้รหัส sbdx001 หรือที่เรารู้จักกันในในชื่อ MM 300 ที่จัดจำหน่ายกันจนถึงปัจจุบันครับ




   ด้วยตัวเรือนรูปแบบเดิม monocoque ,เครื่อง 8L35 กันน้ำ 300 เมตร หนัาปัดสกรีน
Marinemaster ,เข็มวินาทีไม่มีจุดแดง มารคเก้อเบเซิลสีเงินครับ  รุ่นนี้ถือเป็นรุ่นที่ตอบสนองความคิดถึง ของเหล่าสาวก seiko diver ได้เป็นอย่างดีครับ




     ทั้งตัวเรือน คุณภาพเครื่อง ความปราณีตในผลงาน และ เรื่องราวอันเป็นตำนานของ Seiko Diver แม้คนที่ไม่ได้เป็นสาวก ก็ยังยอมรับครับ ด้วยราคาตั้ง 23,800$  ก็ไม่ได้เป็นข้อจำกัด
ที่ผู้ชื่นชอบ จะยอมควักสตางค์ แลกกับนาฬิกา ดำน้ำ สัญชาติญี่ปุ่นเรือนนี้ครับ

 Seiko MM300 Japan Limited (SBDX012) เรียกได้ว่าเป็นตัว Re-edition ที่สุดจริง ๆครับ รายละเอียดต่าง ๆมาครบ มาร์คเก้อขอบเบเซิลสีทอง เข็มวินาทีแต้มจุดแดง สายยางวาฟเฟิล และสายเหล็ก หน้าปัดเพิ่มคำว่า Marinemaster



         ขอจบที่ระดับความลึก 300 เมตรครับ     เดี่ยวจะลอง ดำดิ่งความลึก 600 เมตร และ 1000 เมตรดูครับ ถ้ามีโอกาสนะครับ

   
          ปล.ถ้าพูดถึงนาฬิกา Diver ก็ย่อมต้องคู่กับสาย  Mesh หรือ Shark Proof  ครับ ยิ่งตอนนี้ทาง Expert  มีสาย Mesh จัดจำหน่าย มาจับคู่กับ Vintage Diver หรือ Diver ยุคใหม่  ก็เข้ากันกลมกล่อม ได้อารมณ์มาก ๆครับ  ขออณุญาติแปะรูปตัวอย่างจาก อินเตอร์เนทนะครับ

    ใส่กันตั้งแต่ กันน้ำ150 เมตร ,  Monster , SKX 00X, Baby Tuna , Sumo ,Tuna , MM300 ,  SD 600m GMT  ยัน Emperor Tuna  :o :o 

ท่านใดมี GS diver มาใส่สาย Mesh  ขอ wrist shot ชมเป็นบุญตาหน่อยเถิดดดครับ
























     ขออณุญาต และขอบคุณภาพ และข้อมูลประกอบจากอินเตอร์เนทครับ :)

หน้า: 1 ... 9 10 11 12 13 [14]